เมนู

พื้นดินยกเอาขุมทรัพย์นั้นไป เมื่อเขาไม่เห็นบ้าง. ขุมทรัพย์นั้น ไม่สำเร็จ
ประโยชน์แก่เขา เพราะเหตุมีการเคลื่อนที่เป็นต้นเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเหตุที่ไม่สำเร็จประโยชน์ ซึ่งโลกสมมต
มีการทำให้เคลื่อนที่เป็นต้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อทรงแสดงเหตุ ที่เข้าใจกันว่า
ความสิ้นบุญอย่างหนึ่งอย่างเดียวที่เป็นมูลแห่งเหตุแม้เหล่านั้น จึงตรัสว่า ยทา
ปุญฺญกฺขโย โหติ สพฺพเมตํ วินสฺสติ.

คาถานั้นมีความว่า สมัยใด บุญที่ทำโภคสมบัติให้สำเร็จ สิ้นไป ก็จะ
ทำสิ่งที่มิใช่บุญ ที่เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่งโภคสมบัติ มีโอกาสตั้งอยู่ สมัย
นั้น ธนชาตใดมีเงินและทองเป็นต้น ซึ่งผู้ฝังขุมทรัพย์ฝังไว้แล้ว ธนชาตนั้น
ทั้งหมด ก็พินาศหมดสิ้นไป.

พรรณนาคาถาที่ 6


พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสถึงขุมทรัพย์ ที่แม้บุคคลฝังไว้แล้วด้วย
ความประสงค์นั้น ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ตามที่ประสงค์ ถึงโลกสมมตก็ต้อง
มีอันพินาศไปเป็นธรรมดา บัดนี้เพื่อทรงแสดงบุญสัมปทาเท่านั้นว่า เป็นขุม
ทรัพย์โดยปรมัตถ์ เมื่อทรงแสดงนิธิกัณฑสูตรนี้ ที่ทรงเริ่มเพื่ออนุโมทนาแก่
กุฎุมพีนั้น จึงตรัสว่า
ขุมพรัพย์ ของใด จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็
ตาม ชื่อว่าผังไว้ดีแล้ว ก็ด้วยทาน ศีล สัญญมะ และ
ทมะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทานํ พึงถือเอาตามนัยที่กล่าวไว้แล้วใน
มงคลข้อที่ว่า ทานญฺจ ธมฺมจริยา นั้น. บทว่า สีลํ ได้แก่ การไม่ล่วง
ละเมิดทางกายและวาจา คือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และปาฏิโมกข์สังวรศีล